เด็กในแต่ละอายุ อาการจะต่างกันอย่างไร
โรคนี้แบ่งเป็น 3 ช่วงคือ 1. วัยทารก พบตั้งแต่อายุ 3 เดือน ขึ้นไป ผื่นจะขึ้นบริเวณแก้ม ผื่นด้าน นอกของแขน ขา ข้อมือและข้อเท้า โดยลักษณะผื่นจะเป็นตุ่มแดงคันหรือตุ่ม น้ำใสเป็นน้ำเหลือง อาการของโรคจะดีขึ้นเมื่ออายุ 2-3 ปี
2. วัยเด็กโต ผื่นจะขึ้นที่คอ ข้อพับของแขน และขาทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยจะคันมาก และเกาจนเป็นผื่นหนา
3. วัยผู้ใหญ่ ผื่นจะเหมือนในเด็กโต แต่อาจมีผื่นที่ข้อมือและเท้า ร่วมด้วย
โรคนี้เกิดจากสาเหตุอะไร ติดต่อได้หรือไม่
โรคนี้สาเหตุยังไม่ทราบแน่นอน แต่พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบว่าเด็กที่เป็นโรคนี้จะมีบิดามารดาหรือญาติเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หอบหืด โรคหวัดเรื้อรังร่วมด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารบางอย่าง หรือไรฝุ่น จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผื่นเลวลง โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ จึงไม่ติดต่อไปยังผู้ใกล้ชิด
ปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบขึ้นมีอะไร
1. การติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
2. สารระคายเคืองต่างๆ เช่น ผ้าเนื้อหนาหรือสาก ผ้าไนล่อน สบู่และแป้งบางชนิด ผงซักฟอก เป็นต้น
3. อากาศร้อน หรือหนาวเกินไป
4. อาหารบางชนิด เช่น นมวัว ไข่ อาหารทะเล ถั่ว เป็นต้น
5. การแพ้สารต่างๆ ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น
6. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น ความเครียด ความกังวล จะทำให้อาการคันเป็นมากขึ้น
จะป้องกันและรักษาอย่างไร
1. หลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้อาการกำเริบ โดยทารกควรดื่มนมมารดา เพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัว
2. เลือกใช้ผ้าเนื้อนุ่ม เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าแพร ไม่ควรใส่เสื้อผ้าขนสัตว์หรือผ้าขนหนู ผงซักฟอกควรจะล้างออกให้หมด
3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น กีฬากลางแจ้ง
4. เลือกใช้สบู่อ่อนๆ หรือสบู่ที่มีครีมผสม ไม่ควรใช้สบู่ฟอกบ่อยเกินไป
5. ป้องกันผิวแห้ง โดยใช้สารเคลือบผิว เช่น โลชั่น ครีมบำรุงผิวชนิดอ่อน ทาหลังอาบน้ำทันทีและไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินไป หรือไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งยิ่งขึ้น
6. ใช้ครีมจำพวกสเตียรอยด์ ทาเฉพาะผื่นที่มีอาการเห่อและอักเสบ เมื่ออาการทุเลาแล้วควรจะหยุด ไม่ควรใช้ยานี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน และไม่ควรซื้อยาประเภทนี้ใช้เอง ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องอาจทำให้ผิวหนังบางและมีผลข้างเคียงอื่นตามมา
7. รับประทานยาแก้แพ้ เพื่อลดอาการคัน เพราะการเกาจะทำให้ผื่นเป็นมากขึ้น ข้อควรระวังในการรับประทานยาแก้แพ้นี้อาจทำให้ง่วงนอนได้
8. ในรายที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น มีน้ำเหลืองควรใช้ผ้าก๊อซสะอาดชุบน้ำยาประคบแผลครั้งละประมาณ 15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง จนกว่าผื่นจะแห้ง และอาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
โรคนี้จะหายได้หรือไม่
โรคนี้อาการของโรคจะดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แต่จะเป็นๆหายๆ ได้ ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วย อาการจะดีขึ้นเมื่ออายุ 10 ปี คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรกังวลและควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีปัญหาควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง
ที่มา: คู่มือเลี้ยงลูก สำหรับคุณแม่มือใหม่,แพทย์หญิงวนิดา ลิ้มพงศานุวัฒน์
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น